วันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

สะพานชมวิว ณ วัดผาตากเสื้อ อ.สังคม จ.หนองคาย

สถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งของเมืองไทย “วัดผาตากเสื้อ”

 เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วมากนี่ก็ 2 ปีแล้วที่อรหันต์ประจำบ้านของเหล่าลูกๆที่ท่านเข้าไปอยู่ในความทรงจำของพวกเรา หลังจากที่เหล่าลูกๆและคนที่รักท่านทำบุญรำลึกในวันคล้ายวันที่ท่านจากโลกนี้ไป ปีนี้บังเอิญตรงกับวันมาฆบูชาด้วย จึงมีผู้คนหลากหลายเข้ามาร่วมทำบุญในครั้งนี้ด้วย

กิจกรรมช่วงเช้าเสร็จสิ้น ก็ถึงช่วงที่พวกเราจะได้ทำกิจกรรมร่วมกัน ในครั้งนี้พวกเราได้ตกลงกันที่จะไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ไกลบ้านเท่าไรนัก นั่นก็คือวันผาตากเสื้อ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง ณ อำเภอสังคม จังหวัดหนองคาย ที่ระหว่างทางมีวิวทิวทัศน์ที่น่ามอง เราเคยมากันเมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว ซึ่งครั้งนี้มีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจมากทั้งเรื่องการปรับปรุงมุมต่างๆสำหรับการชมวิวทิวทัศน์ของแม่น้ำโขง การจัดสถานที่เป็นระเบียบเรียบร้อย หรือแม้แต่กระทั่งห้องน้ำที่มีอยู่ทั่วไปและสะอาดสะอ้านดี แต่ที่โดดเด่นที่สุดนั่นก็คือสะพานชมวิว (Sky walk)ที่ยื่นออกไปในหน้าผา ทำพื้นเป็นกระจกที่สามารถมองเห็นพื้นล่างได้ เห็นแล้วก็นึกถึงหอไข่มุกที่มหานครเซียงไห้ที่เคยไปเมื่อหลายปีก่อน

เรามาดูมาชมกันว่าน่าสนใจขนาดไหน
จุดชมวิวจุดแรกที่มีจุดวัดใจอยู่ที่ชะง่อนหิน (คล้ายๆภูกระดึง)
ภาพมุมกว้างที่มองจากชุดชมวิวด้านล่าง

ที่เห็นสะพานยื่นออกมานั่นคือจุดท่องเที่ยวแห่งใหม่

ขยายภาพเข้ามาใกล้ๆ


ใกล้เข้ามาอีก ตรงบริเวณก่อนทางขึ้น


ทางขึ้น พื้นร้อนมาก


ทางวัดไม่อนุญาตให้ใส่รองเท้าประเภทอื่น นอกจากที่เตรียมไว้ให้เท่านั้น


ณ จุดนี้คืออีกจุดที่วัดใจคนกลัวความสูง


มองไปจุดชมวิวจุดแรก


อีกฝั่งของสะพานชมวิว


บริเวณด้านบน


อีกมุของบริเวรสะพานชมวิว



ภาพมุมกว้างที่มองจากบนสะพานเห็นแม่น้ำสองสายมาบรรจบกัน เห็นไกลๆลิบนั่นคือฝั่ง สปป.ลาวนั่นเอง


ภาพมุมกว้างที่มองเห็นบริเวณสะพานชมวิว



ป้ายสำหรับให้ข้อมูลนักท่องเที่ยว

ข้อมูลเพิ่มเติม

การเดินทาง: มาจากจังหวัดอุดรธานีใช้เส้นทางสายมิตรภาพ ตรงมายังจังหวัดหนองคาย เลี้ยวซ้ายบริเวณสามแยกทางไปอำเภอท่าบ่อก่อนถึงตัวเมืองหนองคาย ระยะทางถึงทางแยกจากจากจังหวัดอุดรธานีประมาณ 45-50 กม.
จากนั้นให้ตรงมาตามถนนไม่ต้องเลี้ยวที่ไหน ซึ่งบริเวณริมแม่น้ำโขงหลายๆจุดมีวิวทิวทัศน์ที่น่าสนใจ นักถ่ายภาพน่าจะแวะเก็บภาพระหว่างทางได้พอสมควรเลยหล่ะ เดินทางมาเรื่อยๆก็จะพบสามแยกที่บริเวณเชิงเขาซึ่งอยู่ั่งซ้ายมือก่อนถึงตัวอำเภอสังคม ระยะทางช่วงนี้ก็ประมาณ 30-40 กม.
เมื่อเลี้ยวซ้ายเข้ามาจะพบป้ายทางไปวัดผาตากเสื้อ ระยะทาง 6.8 กม. อยู่ทางแยกฝั่งขวามือ เดินทางขึ้นมาเรื่อยๆก็จะพบกับที่หมายปลายทาง

การเตรียมตัวเข้าชม: เนื่องจากเป็นพื้นที่วัดต้องแต่งตัวสุภาพ ผู็หญิงไม่ควรนุ่งสั้นมาก การขึ้นชมต้องเปลี่ยนรองเท้าที่ทางวัดจัดไว้ให้และห้ามนำร่มขึ้นไปกางบริเวณสะพานชมวิว เพื่อความสะดวกและปลอดภัยกับนักท่องเที่ยวท่านอื่น นอกจากนี้ยังไม่อนุญาตไม่ขึ้นเกินครั้งละ 20 ท่าน ข้อห้ามต่างๆสามารถอ่านได้ตามป้ายได้นะครับ

หลังจากกลับจากวัดจึงถือโอกาสเดินทางเข้าไปในตัวเมืองจังหวัดหนองคาย โดยใช้ทางเรียบแม่น้ำโขงที่เข้าทางอำเภอท่าบ่อ มาเรื่อยก็พบว่ามีร้านอาหาร สถานที่พักที่มีวิวสวยๆหลายแห่ง แต่ช่วงนี้น้ำค่อนข้างน้อยเราก็จะได้เห็นวิวสวยอีกแบบหนึ่ง



ริมแม่น้ำโขงบริเวณอำเภอเมือง
 
พอดีเห็นเรือกำลังข้างฝั่งจึงถ่ายภาพไว้


มุมสวยๆบริเวณร้านปลาเผา (แหม..เสียดายจำชื่อร้านไม่ได้ เจ้าของร้านอัธยาศัยดีมากๆ)


เข้ามาว่ายพระเวียนเทียนวัดคู่บ้านคู่เมือง วันโพธิ์ชัย สถานที่ประดิษฐานหลวงพ่อพระใส


หลังจากเวียนเทียนครบสามรอบแล้วก็เข้ามาฟังธรรมบริเวณโบถน์ (ผู้เขียนไม่ได้เข้า)



ใหว้พระเวียนเทียนเสร็จก็นำธูปเทียนและดอกบัวมาวางไว้บริเวณนี้

จังหวะพอดีเลย



บริเวณพื้นที่วัดโพธิ์ชัย
 
วันนี้ก็สิ้นสุดกิจกรรม ณ วัดโพธิ์ชัย ผู้เขียนได้มีโอกาสมาเวียนเทียนที่ไม่ได้ทำมาหลายปีมากแล้ว ครั้งนี้เป็นช่วงจังหวะที่ดีทีเดียว
หากท่านกำลังเลือกสถานที่ท่องเที่ยวทางภาคอิสานตอนบนจังหวัดหนองคายเป็นอีกหนึ่งคำตอบของผู้ที่ชื่นชอบธรรมชาติ วัดวาอารามและผู้คนที่เป็นมิตรยิ้มแย้มแจ่มใส
 
ศรายุทธ พุทธรักษา เรียบเรียง
 
 
 
 
 

วันอังคารที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2559

รากฐานของความเจริญที่มั่นคง เรียนรู้จากมหานครปารีส ประเทศฝรั่งเศส

กลับมาได้เกือบเดือนแล้วแต่ก็ยังมีสิ่งที่ประทับใจจนอยากจะแบ่งปันคือสิ่งที่ผมได้เห็นอยู่ดาดดื่นในกรุงปารีส นั่นคือพื้นถนนที่ดูแปลกตา (แต่คนที่นี่เขาคงดูไม่แปลกหรอก) ซึ่งต้องบอกว่าผมก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมประเทศที่เจริญแล้วพัฒนามากกว่าประเทศเรา จึงยังใช้ถนนที่มีลักษณะเช่นนี้ ทั้งที่มีเทคโนโลยีในการก่อสร้างสมัยใหม่มากมาย
แล้วผมก็ได้คำตอบจากการพูดคุย จากการสังเกตุจากคนที่นี่ พบว่าถนนเหล่านี้ได้ถูกสร้่างมาตั้งแต่ก่อนที่จะมีประเทศไทยซะอีกคือเป็นหลักเกือบพันปีมาแล้ว โอ้วแม่เจ้า...(อึ้งแป๊ป) แล้วทำไมยังสามารถใช้ได้นานขนาดนี้แล้วทำไมไม่มีการรื้อสร้างใหม่หล่ะ

และแล้วผมก็รู้ได้ด้วยการประติดประต่อเรื่องราวได้จาก 2ส่วนหลักนั่นคือ
1.คนในประเทศนี้ได้คิดและทำสิ่งไดเพื่อส่งผลระยะยาวเพื่อให้ลูกหลานเหลนโหลนเขาใช้ประโยชน์
2.เหล่าลูกหลานเหลนโหลน ต่างก็ยินดีที่จะอนุรักษ์และใช้งานต่อโดยไม่รื้อทำลายทิ้ง

ผมได้เรียนรู้เรื่องนี้ว่า การที่ประเทศเจริญมั่นคงก้าวหน้าได้นั้น ต้องเริ่มต้นจากจิตสำนึกการเป็นผู้ให้อย่างแท้จริง มองไปที่ประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง มีน้ำหนึ่งน้ำใจเดียวกัน และคนรุ่นต่อมาก็เคารพต่อการตัดสินใจของบรรพบุรุษ เลือกที่จะรักษาใช้งานอย่างเกิดประโยชน์สูงสุด

สิ่งที่เขาได้รับคืออะไรหล่ะ ถนนเดิมที่ไม่ต้องเสียเงินสร้างใหม่เหรอ นั่นปล่าวเลย สิ่งที่เขาได้คือการรักษารากเหง้าความคิดที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นในการให้รุ่นต่อๆไปทั้งเป็นการฝังรากลึกด้านจิตสำนึกในการพึ่งพาอาศัยกัน การเคารพซึ่งกันและกันต่างหาก จึงทำให้ประเทศเขาเจริญและมั่งคั่งมั่นคง
แล้วเรื่องนี้ทำให้ท่านได้รับอะไรบ้างจากความเห็นของผู้เขียน

SBuddha Wu


วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ต้นกำเหนิดตลาดนัด

ตลาดนัด

ต้นกำเหนิดมาจากดินแดนของทวีปยุโรป ซึ่งเกิดจากกุศโลบายของคนที่เริ่มเห็นช่องทางการขายสินค้า ให้เป็นที่ชุมนุมของผู้คน โดยการการดึงดูดด้วยการบริการหาเห็บหาเหาฟรีโดยใช้ลิง

เนื่องจากคนในดินแดนแห่งนี้ไม่นิยมอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายบ่อยๆ เนื่องมาจากอากาศที่หนาวเหน็บ จึงทำให้มีเห็บ ไร หมัด(Flea) คนที่ต้องการกำจัดจึงเดินทางมา ณ ที่แห่งนี้ ซึ่งก็ทำให้เกิดการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้านานาชนิด
...

เมื่อมีการติดต่อกับนานาประเทศ ตลาดนัดหรือ Flea market จึงได้แพร่หลายไปทั่วโลก ในประเทศไทยเองก็ได้รับอิทธิพลนี้เข้ามาและทำการต่อยอดมากได้มากมาย ก่อให้เกิดการสร้างอาชีพ ทำให้เกิดคหบดีมากมายจากตลาดนัด

นอกจากนี้แล้วการที่ดินแดนแห่งนี้ที่หนาวเกือบทั้งปี คนไม่นิยมอาบน้ำ เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ วิวัฒนาการเพื่อแก้ปัญหาจึงเกิดขึ้น โดยการพัฒนาสิ่งที่มาลดกลิ่นตัว นั่นคือน้ำหอม ดังนั้นคนที่ชอบใส่น้ำหอมเดิมก็คือคนที่ไม่ชอบอาบน้ำนั่นเอง น้ำหอมจึงเป็นสินค้าที่เป็นที่นิยมอย่างสูงในตลาดนัดด้วย

เรียบเรียงมาจาก การบอกเล่าของหัวหน้าทัวว์ปารีส
 

หอคอยไอเฟล

วันนี้เราเห็นหอคอยที่สูงตระหง่านให้ชาวโลกได้ชื่นชม ที่เป็นความภูมิใจของชาวฝรั่งเศส เป็นที่ี่มาของการสร้างอาชีพได้อย่างอภิมหาศาลต่อประเทศนี้และยังสร้างผลลัพธ์ทั้งทางตรงและทางอ้อมให้กับคนทั่วโลก

แต่ทว่าในวันที่เริ่มต้นการเสนอโครงการนี้กลับถูกต่อต้านอย่างสุดฤทธิ์ เพื่อไม่ให้เกิดหอคอยอันสง่านี้ขึ้นมา แม้ว่าเขาจะเป็นวิศวกรที่ออกแบบก่อสร้างที่เป็นหนึ่งในอัจฉริยบุคคลของโลกที่ออกแบบสิ่งก่อสร้างสิ่งมหัศจรรย์ของโลกโดยใช้น๊อตเป็นล้านๆตัวเพื่อให้หอคอยนี้ยืนตระหง่านในโลกนี้ได้อย่างมั่นคง ...สามารถทนทานต่อแรงลม หิมะ ความหนาวเย็น ความร้อนและอุปสรรคมากมายนานับประการ ก็ตามที

สิ่งนี้จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ถ้าหากวันนี้เขาท้อ เขาฟังเสียงที่ไม่สร้างผลลัพธ์อย่างที่เขาวาดไว้ ในวันนั้นเขาต้องยืนหยัดต่อความเชื่อ ยืนหยัดต่อเสียงที่ต่อต้านเสียงด่าทอของคนไม่เห็นด้วย รวมถึงคนที่พยายามขัดขวาง เพื่อให้เกิดสิ่งก่อสร้างที่เรียกว่าหอไอเฟลก็จะขึ้นมาให้ประจักษ์ต่อสายตาชาวโลกและสร้างคุณอนันต์ต่อประเทศนี้ นั่นก็เพราะเขารับผิดชอบต่อฝันของเขา รับผิดชอบต่อความเชื่อมั่น รับผิดชอบต่อวิสัยทัศน์ที่คนในยุคนั้นไม่เชื่อนั่นเอง

เราเองรับผิดชอบความฝัน ความเชื่อมัน วิสัยทัศน์ของเรา เพื่อคนที่เรารัก เพื่อคนรอบกาย เพื่อคนในสังคมเพียงได สิ่งนี้พิสูจน์มาแล้วว่าฝันใหญ่และรับผิดชอบต่อฝันนั้น สิ่งยิ่งใหญ่ก็เกิดขึ้นมา ฝันใหญ่อุปสรรคก็ใหญ่ เราจะฝ่าพันต่อความฝันเราเพียงได ขนาดของความฝันเราใหญ่พอที่จะให้คนอื่นต่อต้านเยาะเย้ยแล้วยัง ถ้ายังก็จงลงมือทำแล้วมุ่งมั่นทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นมา ดั่งเช่นหอคอยไอเฟล

เรียบเรียง: SBUDDHA WU