การวางกลยุทธ์สินค้า(ปลานิล)เพื่อเข้าสู่ห้างค้าปลีกให้เติบโตอย่างยั่งยืน
1. จัดกลุ่มลูกค้า/ส่วนแบ่งการตลาด1.1. ตลาดผู้บริโภค: ตามภูมิภาค, ลักษณะทางประชากรศาสตร์, ลักษณะการใช้ ฯลฯ
1.2. กลุ่มมีลักษณะคล้ายกัน, เข้าถึงได้, วัดได้และปริมาณมากพอ
2. กำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
2.1. กลุ่มลูกค้าที่บริโภคปลาน้ำจืด
2.2. ลูกค้าผู้หญิงที่รักษ์สุขภาพ
2.3. ฯลฯ
3. กำหนดจุดยืนของสินค้า
3.1. เป็นการกำหนดภาพลักษณ์หรือคุณสมบัติที่โดดเด่นให้เกิดขึ้นในใจของผู้บริโภค โดยการกำหนดคุณสมบัติสินค้า, คุณประโยชน์ของสินค้า เช่น เป็นสินค้าที่ผลิตจากโครงการหลวงโดยกลุ่มเกษตรกร, ไม่มีไขมันที่ก่อให้เกิดโรคอ้วน, เป็นปลาที่คุ้มค่ากับราคาขาย เป็นต้น
การวางกลยุทธ์ของธุรกิจการจำหน่ายปลานิลโดย มีอยู่ 4 ประเภท คือ
1. การเป็นผู้นำทางต้นทุน (Cost/Price Leader)
2. ข้อได้เปรียบทางด้านการแข่งขัน คือการสร้างความแตกต่างให้เหนือกว่าคู่แข่งขัน (competitive differentiation) มุ่งที่การผลิตปลานิลโดยคำนึงถึงความเป็นเอกลักษณ์ในการผลิต มุ่งที่ผู้บริโภคโดยไม่คำนึงถึงราคา (Price-insensitive) มากนัก
3. การปรับตัวที่รวดเร็ว (Economic of Scale/ Economic of Speed) มุ่งที่การผลิตปลานิลที่มีมาตรฐานด้วยต้นทุนต่อหน่วยที่ต่ำ โดยมีเป้าหมายสำหรับผู้บริโภคที่อ่อนไหวต่อราคา(Price-sensitive)
4. การมุ่งที่ลูกค้ากลุ่มเล็ก(Niched, Micro Market) มุ่งที่การผลิตสินค้าและบริการที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มเล็ก
กลยุทธ์ธุรกิจผลิตปลานิล สร้างกลยุทธ์การแข่งขันที่แตกต่าง โดยเน้นไปในการแข่งขันที่ไม่ใช้ราคา (Non-price competition) คือ:
1. ส่งมอบสินค้าที่คุ้มค่า
2. มีมาตรฐานการควบคุมสินค้า
3. แหล่งผลิตที่ดี
4. มีคุณธรรม, มีความสุขในการผลิตเพื่อส่งมอบให้ลูกค้า
5. กระบวนการส่งมอบสินค้าที่มีคุณภาพจนถึงบ้านลูกค้า
6. สร้างความหลากหลายทั้งสินค้าและบริการด้วยการส่งมอบที่รวดเร็ว
7. ให้เกษตรกรทุกระดับมีส่วนร่วมในการพัฒนากิจการและสินค้า
8. สร้างเครือข่ายในกระบวนการตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ
ปัจจัยในการขับเคลื่อนธุรกิจการจำหน่ายปลานิล
1. ครัวเรือนขนาดเล็กลง
1.1. ขนาดครัวเรือนเล็กลง เฉลี่ย 3.2 คน, เขตเทศบาล=2.9 คน
1.2. ครอบครัวไม่มีบุตร เพิ่มเป็น 14% ในปี 2020
2. รายได้สูงขึ้นใส่ใจสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
2.1. ประชากรที่มีรายได้ระดับปานกลาง มีสัดส่วนเพิ่มเป็น 30% ในปี 2020
2.2. ผู้หญิงมีรายได้เพิ่มขึ้น
3. เข้าถึงเทคโยโลยีมากขึ้น
3.1. ใช้เทคโนโลยีเพิ่มขึ้น มือถือ 79 ล้านเลขหมาย อินเตอร์เน็ต 24 ล้านคน เฟสบุค 15 ล้านบัญชี
3.2. ตลาด Smart Phone 55 ประมาณ 10 ล้านเครื่อง โตไม่ต่ำกว่า 20%
4. เมืองขยายตัว
4.1. ประชากรในเขตเมือง เพิ่มขึ้น คาดว่าจะอยู่ที่ 50% ของประชากรรวมในปี 2020
4.2. ยอดรถจดทะเบียนสะสมทั่วประเทศไม่รวมรถบรรทุกและรถโดยสาร (พย.55) 30.5 ล้านคัน
การแข่งขันในธุรกิจ
1. ราคา < 60 วัน
2. การโฆษณา < 1 ปี
3. นวัตรกรรม < 2 ปี
4. ขบวนการผลิต < 3 ปี
5. ช่องทางการกระจายสินค้า < 4 ปี
6. การพัฒนาบุคลากร < 7 ปี
7. การพัฒนาวัฒธรรมองค์กร > 10 ปี
ความชอบ รสนิยมของผู้บริโภค แตกต่างกันในแต่วัย (Generations)
การพัฒนาตามความชอบและรสนิยม
ที่เปลี่ยนไปในแต่ละช่วงวัย ทำให้วิธีคิด การจับจ่าย
และการตัดสินใจในการบริโภคแตกต่างกัน
Baby
Boom
§ อายุ 49-67 ปี§ พ.ศ. 2489-2507
§ ความต้องการสินค้าและบริการที่มีคุณภาพสูง คงทนถาวร ใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย
§ คำนึงถึงความคุ้มค่า คุ้มราคาและสุขภาพ
Gen-X
§ อายุ 34-48 ปี§ พ.ศ. 2508-2520
§ เป็นกลุ่มที่หาข้อมูลก่อนซื้อ
Gen- Y
§ อายุ 20-33 ปี§ พ.ศ. 2522-2532
§ เป็นกลุ่มใหญ่เริ่มเข้าสู่สังคมใหม่ สังคมออนไลน์
§ ต้องการความแปลกใหม่
§ ใช้สินค้าที่บ่งบอกความเป็นตัวตน
Gen-Z
§ พ.ศ. 2533 ลงมา
§ เป็นกลุ่มที่เกิดมาพร้อมกับเทคโนโลยีทันสมัย
§ ต้องความสะดวกรวดเร็ว
§ มีความอดทนรอคอยน้อย
§ ตามกระแส แคร์สังคม
§ สนุกสนาน ท้าทาย